โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonoses) คือ โรคติดต่อตามธรรมชาติระหว่างมนุษย์และสัตว์ โดยเฉพาะในปัจจุบันนิยมนำสัตว์เลี้ยงมาไว้ในครอบครองกันมากขึ้นทั้งสุนัข แมว กระต่าย นก หนู  และสัตว์เลื้อยคลาน รวมทั้งผู้ที่ทำงานในแวดวงปศุสัตว์ เกษตรกรรมมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อทั้งไวรัส แบคทีเรีย รา รวมทั้งปรสิตของสัตว์

  1. โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสในกลุ่ม rhabdovirus ซึ่งมักพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยเฉพาะสุนัขและแมว แต่สามารถแพร่เชื้อไปยังมนุษย์ได้จากการถูกกัดหรือข่วนโดยสัตว์ที่ติดเชื้อ

อาการของโรคพิษสุนัขบ้า:

1. ระยะแรก:

• มีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย

• บางครั้งอาจรู้สึกเจ็บหรือชาในบริเวณที่ถูกกัดหรือข่วน

2. ระยะที่สอง:

• อาการทางประสาท เช่น กังวล เครียด หวาดระแวง หรืออารมณ์แปรปรวน

• อาจมีอาการชัก น้ำลายไหล หรือปากบิด

3. ระยะสุดท้าย:

• พฤติกรรมคุมคาม เช่น ตกใจง่าย กระวนกระวาย

• อาจทำให้เกิดภาวะอัมพาตและเสียชีวิตจากการหยุดหายใจหรือล้มเหลวของระบบทางเดินหายใจ

วิธีการแพร่เชื้อ:

• เชื้อโรคจะถูกถ่ายทอดผ่านน้ำลายจากสัตว์ที่ติดเชื้อ โดยการกัดหรือข่วน

การป้องกัน:

• การฉีดวัคซีน: เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อจากการถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัด

• การให้วัคซีนแก่สัตว์เลี้ยง: การฉีดวัคซีนให้กับสุนัขและแมวเป็นประจำช่วยป้องกันการแพร่เชื้อ

การรักษา:

• เมื่อมีการถูกสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ควรทำการล้างแผลทันทีและไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกัน (Post Exposure Prophylaxis – PEP) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคหากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว

โรคนี้ถือเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ หากมีการรักษาอย่างทันท่วงที และยังเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนให้กับสัตว์เลี้ยง

2. โรคพยาธิเม็ดเลือดจากสุนัข (Canine Babesiosis)

เป็นโรคที่เกิดจากพยาธิในกลุ่ม Babesia ซึ่งมีผลต่อเม็ดเลือดแดงในสุนัข โดยพยาธิชนิดนี้จะถูกถ่ายทอดจากสุนัขหนึ่งไปยังสุนัขอีกตัวหนึ่งผ่านการกัดของเห็บที่ติดเชื้อ Babesia ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคนี้

สาเหตุและการแพร่เชื้อ:

• พยาธิ Babesia เป็นเชื้อโปรโตซัวที่สามารถทำลายเม็ดเลือดแดงในร่างกายสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะในสุนัข

• การติดเชื้อเกิดจากการที่สุนัขถูกเห็บที่ติดเชื้อกัด ซึ่งเห็บจะดูดเลือดจากสุนัขที่ติดเชื้อ Babesia แล้วนำเชื้อนี้ไปยังสุนัขตัวใหม่ที่ถูกกัด

• เชื้อพยาธินี้สามารถทำลายเม็ดเลือดแดงในร่างกายของสุนัข ทำให้เกิดอาการโลหิตจาง

อาการของโรคพยาธิเม็ดเลือดในสุนัข:

• อาการทางร่างกาย:

• ไข้สูง

• ซึม อ่อนเพลีย

• เบื่ออาหาร

• โลหิตจาง (เยื่อบุสีซีด)

• ถ่ายปัสสาวะเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาลจากการแตกของเม็ดเลือดแดง

• การหายใจเร็วหรือหายใจลำบาก

• อาการรุนแรง:

• อวัยวะภายในทำงานผิดปกติ เช่น ตับหรือไตล้มเหลว

• การตกเลือดหรือมีเลือดออกจากร่างกาย

• ในกรณีที่ไม่รักษา อาจทำให้สุนัขเสียชีวิต

วิธีการป้องกัน:

1. การป้องกันเห็บ: การใช้ยาป้องกันเห็บ เช่น สเปรย์หรือการใส่ปีกเห็บ (Tick Collars) เพื่อป้องกันการกัดจากเห็บ

2. การตรวจสุขภาพสุนัข: การพาสุนัขไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อการตรวจหาการติดเชื้อ

3. การควบคุมสภาพแวดล้อม: กำจัดแหล่งที่เห็บสามารถเจริญเติบโตได้ เช่น พื้นที่ที่มีหญ้าหรือพุ่มไม้

การรักษา:

• ยาต้านพยาธิ Babesia: เช่น Imidocarb dipropionate หรือ Diminazene aceturate เป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคพยาธิเม็ดเลือดในสุนัข

• การรักษาอาการโลหิตจาง: เช่น การให้เลือดหรือสารน้ำเพื่อช่วยฟื้นฟูสุขภาพของสุนัขที่มีภาวะโลหิตจาง

โรคพยาธิเม็ดเลือดจากสุนัขเป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้ หากตรวจพบได้ทันเวลา โดยเฉพาะการป้องกันเห็บและการให้ยาต้านพยาธิ

3. โรคฉี่หนู (Leptospirosis)

เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียในสกุล Leptospira ซึ่งสามารถแพร่ระบาดจากสัตว์สู่สัตว์หรือจากสัตว์สู่มนุษย์ โดยเฉพาะการสัมผัสกับน้ำหรือดินที่ปนเปื้อนกับปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ ซึ่งสุนัขสามารถติดเชื้อจากการสัมผัสกับน้ำสกปรกหรือดินที่มีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย Leptospira ได้

สาเหตุและการแพร่เชื้อ:

• สุนัขสามารถติดเชื้อ Leptospira ได้จากการสัมผัสปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น หนู หรือจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน

• แบคทีเรียนี้สามารถอยู่รอดในน้ำหรือดินที่ชื้นได้เป็นระยะเวลานาน ซึ่งทำให้การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำท่วมขัง

อาการของโรคฉี่หนูในสุนัข:

1. อาการทั่วไป:

• ไข้สูง

• อ่อนเพลีย ซึม เบื่ออาหาร

• อาเจียนและท้องเสีย

• ตัวเหลือง (อาการดีซ่าน) เนื่องจากการทำงานผิดปกติของตับ

• ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะออกน้อยหรือมีสีเข้ม

• การหายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว

2. อาการรุนแรง:

• การทำงานของตับและไตล้มเหลว

• ภาวะเลือดออกจากกระเพาะอาหารหรือระบบทางเดินหายใจ

• ความดันโลหิตต่ำ และอาจนำไปสู่การช็อกหากไม่ได้รับการรักษา

การแพร่เชื้อ:

• การแพร่เชื้อจากสุนัขไปยังสุนัขอื่นๆ หรือมนุษย์มักเกิดจากการสัมผัสกับปัสสาวะของสุนัขที่ติดเชื้อ หรือจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน

• แบคทีเรีย Leptospira สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านแผลหรือเยื่อเมือกต่างๆ เช่น ดวงตา ปาก และจมูก

วิธีการป้องกัน:

1. การฉีดวัคซีน: วัคซีนป้องกันโรคฉี่หนูมีให้สำหรับสุนัขและสามารถป้องกันการติดเชื้อจากบางสายพันธุ์ของแบคทีเรีย Leptospira ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

2. การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแหล่งน้ำสกปรก: ไม่ให้สุนัขเล่นในน้ำที่มีโอกาสปนเปื้อนปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ

3. การควบคุมสัตว์ที่มีแนวโน้มติดเชื้อ: เช่น หนูหรือสัตว์ป่าในบริเวณที่สุนัขอาศัยอยู่

การรักษา:

• การให้ยาปฏิชีวนะ: เช่น Penicillin, Doxycycline, หรือ Ampicillin ซึ่งสามารถฆ่าแบคทีเรีย Leptospira ได้

• การรักษาอาการ: เช่น การให้สารน้ำเพื่อรักษาภาวะขาดน้ำและภาวะการทำงานของไตล้มเหลว หรือการให้ยาควบคุมอาการไข้และอาการอักเสบ

• การรักษาโรคแทรกซ้อน: เช่น ภาวะดีซ่านหรือการติดเชื้อในตับและไต

โรคฉี่หนูเป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และการฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อในสุนัข

4. โรคเชื้อราในผิวหนัง (Ringworm)

หรือที่เรียกกันว่า โรคผิวหนังติดเชื้อจากเชื้อรา เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อของเชื้อรากลุ่ม Dermatophytes โดยเฉพาะ Microsporum และ Trichophyton ซึ่งสามารถติดจากสุนัขไปยังมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือขนที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อรา เช่น ผ้าห่มหรือแปรงขนที่ใช้ร่วมกับสุนัข

สาเหตุของโรค:

• เชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในบริเวณต่างๆ ของผิวหนัง โดยมักจะปรากฏเป็นวงกลมหรือรอยแดงที่มีขอบเขตชัดเจน คล้ายกับแหวน (จึงเรียกว่า “Ringworm”)

• เชื้อรานี้สามารถแพร่กระจายได้จากการสัมผัสแผลหรือขนของสุนัขที่ติดเชื้อ

อาการของโรคเชื้อราในผิวหนังจากสุนัข:

1. ในสุนัข:

• การเกิดแผลที่ผิวหนังมักจะมีลักษณะเป็นวงกลม มีขอบเขตชัดเจน และมีขุยหรือแผลลอก

• บริเวณที่ติดเชื้ออาจมีขนร่วง และบางครั้งอาจมีอาการคันหรือระคายเคือง

• อาจพบแผลที่บริเวณใบหู ขาหน้า หรือหลัง

2. ในมนุษย์:

• การติดเชื้อจากสุนัขมักจะเกิดจากการสัมผัสแผลหรือขนที่ติดเชื้อ โดยอาการของมนุษย์จะเป็นผื่นกลมๆ หรือวงๆ ที่มีขอบแดงและมีขุย

• อาจพบอาการคันหรืออักเสบที่ผิวหนังบริเวณที่สัมผัส

การแพร่เชื้อ:

• การติดเชื้อจากสุนัขสามารถเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับขนหรือแผลที่ติดเชื้อในสุนัข

• สามารถแพร่ผ่านการสัมผัสสิ่งของร่วม เช่น ผ้าห่ม, แปรงขน, หรือพื้นผิวที่มีเชื้อราปนเปื้อน

วิธีการป้องกัน:

1. การรักษาความสะอาดของสุนัข: การอาบน้ำและการทำความสะอาดสุนัขอย่างสม่ำเสมอ

2. การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่มีอาการ: หากพบสุนัขมีแผลหรืออาการที่สงสัยว่าเป็นเชื้อรา ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือทำการแยกสุนัขออกจากสัตว์ตัวอื่นและมนุษย์

3. การใช้ยาต้านเชื้อรา: เช่น สเปรย์หรือแชมพูที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อราสำหรับสุนัข

4. การทำความสะอาดสิ่งของที่ใช้ร่วมกับสุนัข: เช่น ผ้าห่ม, แปรงขน, หรือเครื่องนอนที่ใช้ร่วมกัน ควรทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบ่อยๆ

การรักษา:

1. ยาต้านเชื้อรา: เช่น Griseofulvin, Itraconazole หรือ Terbinafine ซึ่งใช้รักษาเชื้อราบนผิวหนัง

2. การใช้แชมพูหรือสเปรย์ต้านเชื้อรา: สำหรับการรักษาผิวหนังของสุนัข เช่น Chlorhexidine shampoo หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านเชื้อรา

3. การรักษาผู้ติดเชื้อ: ในกรณีของมนุษย์ที่ติดเชื้อจากสุนัข อาจใช้ยาต้านเชื้อรา เช่น Clotrimazole หรือ Miconazole ที่ใช้ทาผิวหนัง

โรคเชื้อราในผิวหนังจากสุนัขเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ แต่ต้องการการดูแลและการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อให้กับสัตว์หรือมนุษย์อื่นๆ และการรักษาความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเกิดโรค

5. โรคพยาธิจากสุนัข (Roundworm และ Hookworm)

เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิตัวกลม (Roundworm) และพยาธิตัวดูดเลือด (Hookworm) ซึ่งเป็นพยาธิในกลุ่ม Nematodes ที่สามารถติดจากสุนัขไปยังมนุษย์หรือสัตว์อื่นๆ ได้ โดยเฉพาะผ่านการสัมผัสกับดินหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนไข่พยาธิ

1. Roundworm (พยาธิตัวกลม)

สาเหตุ:

• พยาธิตัวกลมที่มักพบในสุนัขคือ Toxocara canis ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังมนุษย์หรือสัตว์อื่นๆ ผ่านการสัมผัสกับไข่พยาธิที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม เช่น ดินหรือขนของสุนัข

• เมื่อสุนัขได้รับไข่พยาธิจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่มีไข่พยาธิปนเปื้อน ไข่จะฟักตัวเป็นตัวอ่อนและเข้าไปในกระแสเลือดเพื่อไปยังอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด หัวใจ และตับ ก่อนที่จะกลับไปยังลำไส้

อาการในสุนัข:

• อาเจียน หรือถ่ายเป็นน้ำ

• ท้องอืด หรือท้องบวม

• เบื่ออาหาร และอ่อนเพลีย

• อาการอื่นๆ เช่น ท้องเสียและไอ

อาการในมนุษย์ (Toxocariasis):

• การติดเชื้อในมนุษย์เกิดจากการกลืนไข่พยาธิซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดโรค Visceral larva migrans หรือ Ocular larva migrans

• อาการอาจรวมถึงไข้, ปวดท้อง, ปวดหัว, และในบางกรณีอาจมีผลกระทบต่อการมองเห็นหากเกิดการติดเชื้อที่ตา

2. Hookworm (พยาธิตัวดูดเลือด)

สาเหตุ:

• พยาธิตัวดูดเลือดที่พบในสุนัขมากที่สุดคือ Ancylostoma caninum ซึ่งมักติดจากการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนกับตัวอ่อนของพยาธิ เช่น ดินหรือทรายที่มีพยาธิปนเปื้อน

• พยาธิตัวนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายของสุนัขผ่านการกลืนหรือการสัมผัสกับผิวหนังที่ติดเชื้อ เช่น ผ่านการเดินบนพื้นดินที่มีตัวอ่อนของพยาธิ

อาการในสุนัข:

• การถ่ายอุจจาระที่มีเลือดหรือท้องเสีย

• อาการโลหิตจางเนื่องจากพยาธิดูดเลือดจากร่างกายของสุนัข

• อ่อนเพลีย ซึม และเบื่ออาหาร

• ไอและหายใจลำบาก

อาการในมนุษย์ (Hookworm infection):

• การติดเชื้อในมนุษย์สามารถเกิดจากการสัมผัสตัวอ่อนของพยาธิที่ปนเปื้อนในดิน ซึ่งอาจทำให้เกิดโรค Cutaneous larva migrans ซึ่งจะมีอาการเป็นผื่นคันบนผิวหนังที่ติดเชื้อ

• ในกรณีที่พยาธิเข้าสู่ร่างกายและไปที่อวัยวะอื่นๆ อาจทำให้เกิดอาการเช่น ปวดท้อง, ไอ, หรือแม้กระทั่งปอดบวม

การป้องกัน:

1. การรักษาสุนัขด้วยยาพยาธิ: การให้ยาพยาธิเป็นประจำ เช่น Pyrantel pamoate, Fenbendazole, หรือ Moxidectin ช่วยป้องกันและรักษาการติดเชื้อจากพยาธิ

2. การทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม: การกำจัดอุจจาระของสุนัขอย่างสม่ำเสมอจากสนามหญ้า, พื้นที่นอน, และบริเวณที่สุนัขอาศัย เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของไข่พยาธิในสิ่งแวดล้อม

3. การหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินที่ปนเปื้อน: โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงที่อาจติดพยาธิ

4. การหมั่นตรวจสุขภาพ: การพาสุนัขไปตรวจสุขภาพเพื่อให้ได้การรักษาและตรวจสอบพยาธิอย่างสม่ำเสมอ

การรักษา:

• การให้ยาพยาธิ: เช่น Albendazole, Mebendazole, หรือ Pyrantel pamoate ซึ่งใช้ในการฆ่าพยาธิตัวกลมและพยาธิตัวดูดเลือดในสุนัข

• การรักษาในมนุษย์: การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับการรักษาเชื้อพยาธิในกรณีที่มีการติดเชื้อ

โรคพยาธิตัวกลม (Roundworm) และพยาธิตัวดูดเลือด (Hookworm) เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้หากได้รับการดูแลที่เหมาะสมและการรักษาอย่างทันท่วงที

6. โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัข

เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อที่สามารถแพร่ระบาดจากสุนัขสู่มนุษย์หรือสัตว์อื่นๆ ผ่านการสัมผัสกับน้ำลายของสุนัข ซึ่งอาจเกิดจากการกัด หรือการสัมผัสน้ำลายที่ติดเชื้อจากแผลต่างๆ การติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขมีหลายโรคที่เป็นที่รู้จัก ดังนี้:

1. โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

สาเหตุ:

• โรคพิษสุนัขบ้าจากน้ำลายสุนัขเกิดจากเชื้อไวรัส Rabies virus ซึ่งสามารถติดต่อได้เมื่อมนุษย์หรือสัตว์ได้รับน้ำลายที่มีเชื้อไวรัสนี้จากการกัด หรือการสัมผัสกับน้ำลายที่ติดเชื้อจากแผลเปิด

อาการในสุนัข:

• สุนัขที่ติดเชื้อจะมีอาการคลุ้มคลั่ง, ซึม, อาเจียน, และอาจมีอาการหลอดลมอักเสบที่ทำให้มันกัดไม่เลือก

• ในระยะสุดท้าย สุนัขจะมีอาการอัมพาต และเสียชีวิตภายในระยะเวลาอันสั้น

อาการในมนุษย์:

• เมื่อคนถูกกัดหรือสัมผัสน้ำลายจากสุนัขที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า อาจมีอาการเจ็บแผล, อาการไข้, ปวดหัว, หรือปวดกล้ามเนื้อ

• หากไม่ได้รับการรักษาทันที โรคจะลุกลามเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลางทำให้เกิดอาการทางสมองและระบบประสาท เช่น ชัก, อัมพาต, และเสียชีวิต

การป้องกัน:

• การฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าให้แก่สุนัข และการรับวัคซีนหลังจากถูกกัดจากสัตว์ที่สงสัยว่าติดเชื้อ

2. โรคแบคทีเรียจากน้ำลาย (Bacterial Infections)

สาเหตุ:

• น้ำลายของสุนัขอาจมีแบคทีเรียหลายชนิด เช่น Pasteurella multocida, Streptococcus, หรือ Staphylococcus ซึ่งสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในร่างกายมนุษย์ผ่านการสัมผัสน้ำลายจากแผลหรือการกัด

อาการในมนุษย์:

• อาการติดเชื้ออาจรวมถึงบวม, แดง, เจ็บ, หรือแผลที่มีหนอง

• การติดเชื้อจากแบคทีเรียในบางกรณีอาจทำให้เกิดไข้, ปวดกล้ามเนื้อ, หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis)

การป้องกัน:

• การรักษาแผลที่เกิดจากการกัดหรือการสัมผัสน้ำลายสุนัขอย่างรวดเร็วด้วยการล้างทำความสะอาด

• การใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย

3. โรคพยาธิจากน้ำลายสุนัข (Capnocytophaga)

สาเหตุ:

• เชื้อ Capnocytophaga เป็นแบคทีเรียที่พบในน้ำลายของสุนัขและแมว โดยสามารถติดจากการกัดหรือสัมผัสน้ำลายที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้

• การติดเชื้อจาก Capnocytophaga เป็นสาเหตุของอาการติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกาย

อาการในมนุษย์:

• อาการเริ่มต้นอาจมีไข้, ปวดหัว, อาเจียน, และการติดเชื้อที่แผล

• อาจเกิดการติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินหายใจ, ระบบทางเดินอาหาร หรือระบบประสาท

การป้องกัน:

• การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำลายจากสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงที่มีการติดเชื้อ

• การทำความสะอาดแผลจากการกัดและใช้ยาปฏิชีวนะหากจำเป็น

4. โรคหัดสุนัข (Canine Distemper) (แม้จะไม่ได้ติดต่อโดยตรงจากน้ำลาย แต่มักถูกส่งผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่ง)

สาเหตุ:

• Canine Distemper Virus สามารถแพร่ระบาดผ่านสารคัดหลั่งจากสุนัขที่ติดเชื้อ เช่น น้ำลาย, เสมหะ, หรือปัสสาวะ

อาการในสุนัข:

• มีอาการไข้, น้ำมูก, น้ำตาไหล, ไอ และอาจเกิดการอักเสบที่ตา และสมอง

การป้องกัน:

• การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดสุนัข

สรุปการป้องกันโรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัข:

1. การฉีดวัคซีน: การฉีดวัคซีนให้สุนัขเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและโรคอื่นๆ เช่น หัดสุนัข

2. การหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำลายจากสุนัข: หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำลายจากสุนัขโดยตรง และการกัดจากสุนัขที่ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีน

3. การทำความสะอาดแผล: หากถูกกัดจากสุนัขหรือสัมผัสน้ำลายที่ติดเชื้อ ควรล้างแผลให้สะอาดและไปพบแพทย์ทันที

4. การรักษาสุนัขอย่างถูกวิธี: ดูแลสุนัขให้ได้รับวัคซีนและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

การป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพของสุนัขอย่างเหมาะสม รวมถึงการรับการรักษาจากแพทย์เมื่อสัมผัสกับน้ำลายหรือแผลที่อาจติดเชื้อ


ดูแลให้ดี น้องหมาสุขภาพดี เจ้าของก็ปลอดภัย! 🐾💕


ขอขอบคุณแหล่งที่มาจาก

https://www.dogilike.com/content/caring/4742

0 Comments

Leave a Reply

Avatar placeholder

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Facebook